สีย้อมแบบออกซิเดชัน (OXIDATIVE DYES)

Pน้ำยาเปอร์ออกไซด์ (PEROXIDE SOLUTION - H2O2)

ประกอบด้วย 
 
น้ำ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (ความเข้มข้น 3% - 12%) 
สารเพิ่มความหนืด (Thickener)  
ตัวกระจายเนื้อเดียวกัน หรือ อิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifiers) / สารลดแรงตึงผิว (Surfactants)  
สารทำให้คงตัว (Stabilizers) 
กรด (Acids) 
สารบัฟเฟอร์ (Buffer) 

color cream

ครีมทำสีผม (COLOR CREAM)

ส่วนที่เป็นไขมัน (Fatty Phase) 
สารเพิ่มความหนืดและสารอิมัลซิไฟเออร์

ส่วนที่เป็นน้ำ (Water Phase) 
น้ำ, สารด่าง (Alkalizing agents), สารบัฟเฟอร์ (Buffer), สารลดแรงตึงผิว (Surfactants), สารรีดิวซ์และตัวก่อสารเชิงซ้อน (Reducing an d complexing agents), น้ำหอม (Perfume) และส่วนผสมที่ช่วยดูแลเส้นผมอื่นๆ 

สารทำสี (Dyestuffs) 
สีย้อมแบบออกซิเดชันกับตัวช่วยจับคู่ (Couplers), สารตั้งต้น (Precursors) และสีย้อมโดยตรง (Direct Dyes) 

ready mixed formula

สูตรผสมสำเร็จรูปพร้อมใช้ (READY MIXED FORMULA) 

H2O2 และสารสร้างสี จะทำปฏิกิริยากันจนกลายเป็นสีย้อม สีแบบออกซิเดชันจะทำปฏิกิริยาเมื่อเติม H2O2 เพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยา กระบวนการออกซิเดชันนี้จะเปลี่ยนสารสร้างสีที่ไม่มีสีในมวลครีม ให้กลายเป็นเม็ดสีที่สามารถกักเก็บไว้ภายในเส้นผมได้ 

สีย้อมที่ทำปฏิกิริยาอย่างสมบูรณ์จะยึดเกาะกับเส้นผมและติดทนนาน 

oxidative dyes

สีย้อมแบบออกซิเดชัน (OXIDATIVE DYES

สีย้อมแบบออกซิเดชันส่วนใหญ่มักเกาะติดอยู่ภายในเส้นผม 

การพัฒนาสี (SHADE DEVELOPMENT) 

ช่างทำสีผมมักถามว่า สีแดงเฉดอ่อนเป็นสีชนิดเดียวกับสีแดงเฉดเข้มหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่ เนื่องจากมีเฉดสีแดง น้ำตาล ทองแดง หรือทองหลายชนิดที่ปรากฏในโทนสีต่างๆ

การพัฒนาสีผมแบบออกซิเดชันมีความซับซ้อนมาก นักเคมีจะต้องเลือกตัวช่วยจับคู่และสารตั้งต้นหลายชนิดเพื่อสร้างเฉดสีใหม่ การผสมสารตั้งต้นกับตัวช่วยจับคู่ต่างชนิดกันจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยการจับคู่แต่ละแบบจะสร้างเฉดสีเฉพาะตัว และในเฉดสีเดียวกันอาจประกอบด้วยการจับคู่หลายชุด 

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีสiได้ที่น